Trending
กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่า เผยชื่อ “ลามาร์” ห้างสรรพสินค้าสุดหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเวียนนา แรงบันดาลใจจากไอคอนฮอลลีวูดชาวออสเตรีย เฮดี้ ลามาร์

กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่า เผยชื่อ “ลามาร์” ห้างสรรพสินค้าสุดหรูแห่งใหม่ใจกลางกรุงเวียนนา แรงบันดาลใจจากไอคอนฮอลลีวูดชาวออสเตรีย เฮดี้ ลามาร์

 



8 พฤศจิกายน 2565 – จากการที่กลุ่มเซ็นทรัลและซิกน่าได้ประกาศลงทุนครั้งสำคัญในการสร้างแลนด์มาร์กแห่งใหม่ใจกลางกรุงเวียนนาเมื่อ 2 ปีก่อน ล่าสุดได้จัดงานเลี้ยงฉลองประกาศชื่อห้างสรรพสินค้าภายใต้แบรนด์ใหม่นามว่า “ลามาร์” (LAMARR) โดยการเผยชื่อในครั้งนี้ นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 80 ปี ที่ได้มีห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่แบรนด์ใหม่ถูกเปิดตัวขึ้นในยุโรป โดยได้แรงบันดาลใจจาก เฮดี้ ลามาร์ (Hedy Lamarr) นักแสดงภาพยนตร์ฮอลลีวูดในตำนานซึ่งเป็นไอคอนของชาวออสเตรีย ในยุคศตวรรษที่ 20 ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในโลก ชื่อของห้างลามาร์จึงไม่เป็นเพียงแค่การรำลึกถึงเธอ แต่ยังเสมือนการนำพา เฮดี้ ลามาร์ กลับสู่อ้อมกอดของชาวออสเตรีย

​ห้างลามาร์ เมืองเวียนนา นับเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งที่ 5 ของกลุ่มคาเดเว ซึ่งประกอบด้วย ห้างคาเดเว (KaDeWe) เมืองเบอร์ลิน, ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpolliger) เมืองมิวนิก, ห้างอัลสเตอร์เฮาส์ (Alsterhaus) เมืองฮัมบูร์ก, และ ห้างคาร์ช เฮาส์ (Carsch-Haus) เมืองดุสเซลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี โดยงานเลี้ยงฉลองในครั้งนี้ได้มีแขกผู้มีเกียรติผู้มีชื่อเสียงระดับโลก อาทิ ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล, มรกต ศรีสวัสดิ์ เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงเวียนนา, โลดี้ ไรซ์ โลเดอร์ (Lodi Rice Loder) หลานสาวของเฮดี้ ลามาร์, แดเนียล กรีเดอร์ (Daniel Grieder) ประธานกรรมการบริหาร ฮิวโก้บอส และ แอร์เมเนจิลโด เซนญ่า (Ermenegildo Zegna) เจ้าของแบรนด์เซนญ่า เป็นต้น โดยได้เชิญ โทนิ การ์น (Toni Garrn) นางแบบชื่อดังระดับโลก มาร่วมเป็นพิธีกร

ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารของกลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า “ผมมีความภาคภูมิใจที่ห้างลักชัวรี่แห่งใหม่ของกลุ่มเซ็นทรัล ได้รับเกียรติให้ใช้ชื่อของ เฮดี้ ลามาร์ ผู้เป็นที่รักของทุกคนโดยเฉพาะชาวออสเตรีย ทั้งในฐานะไอคอนฮอลลีวูดที่โด่งดังระดับโลก และนักประดิษฐ์ผู้บุกเบิกซึ่งมีพรสวรรค์ไม่เหมือนใคร ความเพียบพร้อมโดดเด่นในหลากหลายแง่มุมของเฮดี้ ลามาร์ สะท้อนได้เป็นอย่างดีถึงเอกลักษณ์ของโปรเจกต์เวียนนา
ซึ่งนอกจากจะเป็นห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ชั้นนำระดับโลกแล้ว ยังจะสร้างความประทับใจเหนือระดับผ่านเอกลักษณ์ทางด้านสถาปัตยกรรม และการส่งมอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรี่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกค้า”
อังเดร เมเดอร์ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มคาเดเว กล่าวว่า “ห้างลามาร์ถือเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ที่น่าภาคภูมิใจของเวียนนา และยังเป็นการต้อนรับเฮดี้ผู้เป็นไอคอนคนสำคัญในบ้านเกิดของเธอ เฮดี้ทั้งฉลาด สวย น่าหลงใหล และยังได้รับการขนานนามว่าเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้สร้างตำนานที่ทำให้พวกเราโดยเฉพาะชาวเวียนนารำลึกถึงจวบจนปัจจุบัน”

Daniel Grieder – CEO of Hugo Boss, Vittorio Radice (From Left) แดเนียล กรีเดอร์ ประธานกรรมการบริหาร ฮิวโก้บอส, วิตโตริโอ ราดิเช

André Maeder – CEO of The KaDeWe Group อังเดร เมเดอร์- ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มคาเดเว

เฮดวิก คีส์เลอร์ (Hedwig Kiesler) เกิดในปี พ.ศ. 2457 ที่กรุงเวียนนา และต่อมาในปี พ.ศ. 2476 เธอได้มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะนักแสดงจากบทบาทนำสมัยในภาพยนตร์เรื่อง Ecstasy ก่อนที่จะเดินทางข้ามทวีปไปยังฮอลลีวูด ในปี พ.ศ. 2480 เธอได้เปลี่ยนชื่อเป็นเฮดี้ ลามาร์ ตามคำแนะนำของหลุยส์ บี. เมเยอร์ (Louis B. Mayer) ผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ และ ผู้ร่วมก่อตั้งเอ็มจีเอ็ม (MGM) เฮดี้เปิดตัวในฮอลลีวูดครั้งแรกกับภาพยนตร์เรื่อง Algiers ที่ทำให้เธอโด่งดังไปทั่วโลก ทั้งนี้ ชื่อของ เฮดี้ ลามาร์ ได้ถูกจารึกอยู่ที่ Hollywood Walk of Fame ในปี พ.ศ. 2503 หนึ่งในประโยคเด็ดของเฮดี้ซึ่งเป็นที่จดจำก็คือ “เงินมีไว้ใช้ คนส่วนใหญ่เอาแต่ประหยัดเงินเพื่อเก็บไว้ให้คนอื่น เราควรใช้เงินเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง”

​นอกจากความงามอันสะดุดตา และทักษะด้านการแสดงแล้ว เฮดี้ยังมีความสามารถในฐานะนักประดิษฐ์อีกด้วย ในช่วงของสงครามโลกครั้งที่ 2 เธอได้มีส่วนร่วมในการคิดค้นวิธีส่งคลื่นวิทยุนำวิถีที่สามารถหลบหลีกการตรวจจับของฝ่ายตรงข้ามได้ ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่พัฒนามาเป็นไวไฟ และ บลูทูท ในเวลาต่อมา ทำให้ในปี พ.ศ. 2557 เฮดี้ ลามาร์ ได้รับการบรรจุชื่อใน National Inventors Hall of Fame นอกจากนั้น นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 กรุงเวียนนาได้จัดให้มีรางวัลเฮดี้ ลามาร์ เพื่อมอบให้กับนักวิทยาศาสตร์สตรีที่มีผลงานโดดเด่นเพื่อรำลึกถึงอัจฉริยภาพของเธอ

ห้างลามาร์จะสะท้อนให้เห็นถึงชีวิตและผลงานของเฮดี้ โดยการออกแบบของ โอ.เอ็ม.เอ (O.M.A.) บริษัทสถาปนิกชื่อดัง และการจัดสรรของ ดาเนียล สเปอร่า (Danielle Spera) อดีตผู้อำนวยการของ Jewish Museum ในกรุงเวียนนา โดยผู้มาเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศ และสามารถเข้าถึงชีวิตของเฮดี้ ใน Museum Café บนชั้น 5 ของห้างลามาร์ และพบภาพบนโปรเจคเตอร์ ซึ่งเป็นภาพถ่ายหรือถ้อยคำของเธอตามจุดต่างๆ ภายในห้าง

โครงการมิกซ์ยูสแห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ดินกว่า 4.5 ไร่ บนถนน มาเรียฮิลเฟอร์ สตรัส (Mariahilfer Straße) เมื่อแล้วเสร็จจะมีขนาดพื้นที่ใช้สอยรวม 58,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้างลามาร์ ห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่ โรงแรมทอมป์สัน เวียนนา พร้อมพื้นที่สวนลอยฟ้าสีเขียวกว่า 1,000 ตารางเมตร ซึ่งได้รับการออกแบบให้เป็นลานอเนกประสงค์เพื่อสาธารณะ โดยห้างลามาร์ จะมี 8 ชั้น พื้นที่ 20,000 ตารางเมตร ส่วนโรงแรม ทอมป์สัน เวียนนา มี 150 ห้อง มุ่งเน้นการบริการด้านอาหารเป็นพิเศษเพื่อเป็นจุดหมายใหม่ของเหล่านักชิมและนักเดินทาง โดยผู้มาเยือนสามารถนั่งรับประทานอาหารบนระเบียงทางเชื่อมระหว่างโรงแรมกับห้างลามาร์พร้อมชมบรรยากาศสวนลอยฟ้า ในส่วนของล็อบบี้สามารถเป็นจุดพบปะสังสรรค์ หรือนั่งทำงานแบบ co-working โดยรองรับได้ถึง 170 ที่นั่ง โรงแรมทอมป์สัน เวียนนา ได้ถูกออกแบบให้มีความร่วมสมัยและผสมผสานเอกลักษณ์ของเมืองเวียนนาไว้อย่างลงตัว

Danielle Spera – Former director of the Jewish Museum Vienna, Lodi Rice Loder – Granddaughter of Hedy Lamarr (From Left)
ดาเนียล สเปอร่า อดีตผู้อำนวยการของ Jewish Museum ในกรุงเวียนนา, โลดี้ ไรซ์ โลเดอร์ หลานสาวของเฮดี้ ลามาร์

ห้างลามาร์ได้รวบรวมพันธมิตรลักชัวรี่แบรนด์ชั้นนำระดับโลก อาทิ หลุยส์ วิตตอง (Louis Vuitton), กุชชี่ (Gucci), พราด้า (Prada),
โบเตก้า เวเนต้า (Bottega Veneta) และแบรนด์ชั้นนำของออสเตรีย พร้อมสินค้าเครื่องประดับ สินค้าตกแต่งบ้าน อาหาร บริการด้านสุขภาพและสปา รวมทั้ง พื้นที่ จัดกิจกรรม พื้นที่จัดแสดงนิทรรศการศิลปะ มาไว้ในโครงการ ทั้งนี้ ห้างลามาร์และโรงแรมทอมป์สันคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดอย่างเป็นทางการ ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2567
​​​​…………………………………………………….

Fact Sheet
กลุ่มเซ็นทรัล
กลุ่มเซ็นทรัล ก่อตั้งในปีพ.ศ. 2490 และบริหารโดยตระกูลจิราธิวัฒน์ โดยเป็นผู้นำด้านธุรกิจค้าปลีกและบริการ นำเสนอสินค้าหลากหลายประเภท ผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ รวมทั้งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจร้านอาหาร ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และยุโรป โดยกลุ่มเซ็นทรัล มีพนักงานกว่า 80,000 คน ให้บริการลูกค้าสมาชิก 30 ล้านราย ดำเนินงานในกว่า 4,000 สาขา บนพื้นที่กว่า 7 ล้านตารางเมตร ใน 18 ประเทศ กลุ่มเซ็นทรัล ยังเป็นผู้นำห้างสรรพสินค้าและลักชัวรี่ รีเทลระดับโลก ด้วยเครือข่ายห้างสรรพสินค้านานาชาติที่ใหญ่ที่สุด ครอบคลุม 11 ประเทศ 80 เมือง และ 120 สาขา
บริษัทหลักในเครือของกลุ่มเซ็นทรัล ได้แก่ บริษัทเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ดำเนินธุรกิจค้าปลีกหลากหลายรูปแบบและประเภทสินค้า ในไทย เวียดนาม และอิตาลี; บริษัท เซ็นทรัล พัฒนา จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจศูนย์การค้า และอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส รายใหญ่ของไทย ด้วยพอร์ตโฟลิโอที่ครอบคลุมทั้ง ที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และโรงแรม ทั่วประเทศและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้; บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงแรมและรีสอร์ตชั้นนำ กว่า 60 แห่งในหลายประเทศ และร้านอาหารอีกกว่า 1,600 แห่ง
เซ็นทรัล ทำ โครงการพัฒนาสังคมที่ริเริ่มโดยกลุ่มเซ็นทรัล มีวัตถุประสงค์ที่จะยกระดับชุมชนอย่างยั่งยืน โดยสนับสนุนและส่งเสริมชุมชน และผู้ประกอบการธุรกิจขนาดเล็กทั้งระบบตั้งแต่ต้นนำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่เกษตรกรรม การจัดส่งและกระจายสินค้า การวางจำหน่าย การบริการ ไปจนถึงปลายทางการรีไซเคิล ในปี 2564 เซ็นทรัล ทำ สร้างรายได้รวม 1.5 พันล้านบาทให้กับชุมชนใน 44 จังหวัด พัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้คนในชุมชนกว่า 500,000 คน และช่วยเหลือ 100,000 ครัวเรือนทั่วประเทศไทย

กลุ่มเซ็นทรัล ในยุโรป
กลุ่มเซ็นทรัล ได้เริ่มขยายธุรกิจในยุโรป ในปี 2554 โดยเริ่มต้นจากการเข้าซื้อกิจการห้างรีนาเชนเต ห้างสรรพสินค้าลักชัวรี่รายใหญ่ในอิตาลี ตามด้วยการเข้าซื้อกิจการห้างอิลลุม ประเทศเดนมาร์ก ในปี พ.ศ 2556 นอกจากนั้น กลุ่มเซ็นทรัล ยังได้ร่วมทุนกับซิกน่า เข้าซื้อกิจการกลุ่มคาเดเว ประเทศเยอรมนี ในปี 2558 กิจการห้างโกลบุส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในปี 2563 และกิจการกลุ่มเซลฟริดเจส ในปี 2565 การเข้าซื้อกิจการ รวมทั้งพัฒนาปรับปรุงห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มเซ็นทรัลขึ้นแท่นผู้นำลักชัวรี่รีเทลระดับโลก ด้วยห้างสรรพสินค้ากว่า 40 แห่งในเมืองท่องเที่ยวหลักของยุโรป อาทิ ลอนดอน ซูริค โรม โคเปนเฮเกน ดับลิน และเวียนนา กลุ่มเซ็นทรัล ยังเป็นเจ้าของพอร์ตโฟลิโออสังหาริมทรัพย์อันโดดเด่นในยุโรป ซึ่งรวมทั้งห้างเซลฟริดเจสสาขาแฟล็กชิปในลอนดอน, ห้างสรรพสินค้ารีนาเชนเต สาขาโรม ตริโตเน, ห้างสรรพสินค้าโกลบุส ในซูริค, ห้างสรรพสินค้าอิลลุม ในโคเปนเฮเกน, ห้างสรรพสินค้าบราวน์ โธมัส ในดับลิน และโปรเจกต์ที่เตรียมเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ในเมืองดุสเซลดอร์ฟและเวียนนา
ซิกน่า
ซิกน่าเป็นบริษัทเอกชนที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรีเทลชั้นนำของยุโรป โดยบริษัทดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 20 ปี และยังเป็นผู้นำด้านรีเทลออมนิชาแนลในหลายประเทศของยุโรป ธุรกิจรีเทลของซิกน่าประกอบกิจการค้าปลีกหลายประเภทผ่าน Signa Retail Selection
ในประเทศ เยอรมนี ออสเตรีย และสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีพนักงานในสังกัดรวมกว่า 36,000 คน ธุรกิจรีเทลมียอดขายรวม 8 พันล้านยูโร (ในปี 2564/65) โดยหนึ่งในสี่ของรายได้มาจากการขายผ่านช่องทางออนไลน์ บริษัทมีฐานลูกค้าสมาชิก (Loyalty Program) กว่า 15 ล้านคน แบรนด์ชั้นนำผ่านใต้การบริหารของซิกน่า ประกอบด้วย กลุ่มคาเดเว โกลบุส และซิกน่าสปอร์ตยูไนเต็ด
กลุ่มคาเดเว
กลุ่มคาเดเว ประกอบด้วย ห้างคาเดเว เบอร์ลิน, ห้างโอเบอร์โพลลิงเกอร์ มิวนิก, และห้างอัลสเตอร์เฮาส์ ฮัมบูร์ก ซึ่งล้วนเป็นห้างสรรพสินค้าที่โดดเด่นในเยอรมนีและทรงคุณค่าในยุโรป ที่มีอายุกว่า 100 ปี ห้างสรรพสินค้าทั้งสามนี้จึงเป็นสัญลักษณ์ของแต่ละเมือง ที่พร้อมต้อนรับผู้มาเยือนด้วยประสบการณ์ชอปปิ้งอันสุดพิเศษ การบริการที่เป็นเลิศ และสินค้าที่หลากหลายจากแบรนด์นานาชาติชั้นนำ
ห้างสรรพสินค้าของกลุ่มคาเดเวอีก 2 แห่ง ที่อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาและการก่อสร้าง ได้แก่ ห้างคาร์ช เฮาส์ (Carsch-Haus) ดุสเซลดอร์ฟ และห้างลามาร์ เวียนนา ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปี พ.ศ. 2567